วันพฤหัสบดีที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2553

Logistics

          โลจิสติกส์ (Logistics)  หรือ   ที่บางคนออกเสียงว่า ลอจิสติกส์   ซึ่งไม่น่าจะถูกต้องนัก      คำนี้ตามพจนานุกรม แปลว่า การส่งกำลังบำรุง และความหมายในยุคศตวรรษที่ 19 ในเรื่องที่เกี่ยวกับการขนส่งสิ่งของ หมายถึง การวางแผนและบริหารจัดการเพื่อลำเลียงสิ่งของจากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่ง โดยเฉพาะในทางทหารและอุตสาหกรรมการผลิตสิ่งของ  แต่ถ้าอยู่ในเรื่องของการบริหารองค์กรที่มีสายงานมากและซับซ้อน  หมายถึง  การวางแผนและบริหารจัดการภารกิจที่มีความยุ่งยากซับซ้อน
          เมื่อยุคสมัยเปลี่ยนไป ความหมายของ โลจิสติกส์ ก็เปลี่ยนไปตามวิธีการดำเนินธุรกิจของโลก   ในยุคศตวรรษที่ 20 ในทางการทหาร  หมายถึง การวางแผนและบริหารจัดการเพื่อการเคลื่อนกองทัพ กำลังพล ยุทโธปกรณ์ และสิ่งอุปโภคต่าง ๆ   ส่วนในด้านอุตสาหกรรมและธุรกิจ หมายถึง การวางแผนและควบคุมการเคลื่อนไหลของวัตถุดิบและผลผลิต  รวมไปถึงการกระจายสินค้าสู่ตลาดจนถึงผู้บริโภค โดยมีการจัดองค์กรหรือกระบวนการผลิตอย่างเหมาะสมคุ้มค่า
          ปัจจุบัน โลจิสติกส์ หมายถึง ต้นทุนด้านการขนส่งของประเทศ การผลิตสินค้าหรือการบริการต่างๆ ย่อมต้องมีการติดต่อ ขนส่ง เช่น ขนส่งวัตถุดิบจากแหล่งวัตถุดิบไปยังโรงงานผ่านกระ บวนการผลิตจนเป็นสินค้า จากนั้นต้องมีการขนส่งสินค้าสู่ตลาด เพื่อกระจายให้ถึงผู้บริโภค  ต้นทุนด้านการขนส่งมิได้หมายถึงเฉพาะค่าใช้จ่ายของยานพาหนะ แต่รวมถึงวิธีการบรรจุ หีบห่อ ขนถ่าย และป้อนเข้าโรงงาน หากทำได้รวดเร็ว ประหยัด มีการสูญเสียน้อย  นั่นยอมหมายถึงมีต้นทุนต่ำ ในการกระจายผลผลิตสู่ตลาดและผู้บริโภคก็ต้องมีต้นทุนต่ำด้วย
          ดังนั้น หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับโลจิสติกส์ จึงครอบคลุมหลายฝ่าย ตั้งแต่แหล่งวัตถุดิบ วิธีการบรรจุ ขนถ่าย กระบวนการส่ง-รับของ ผู้จัดสร้างโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่งต่าง ๆ ทั้งระบบถนน ระบบราง ท่าเรือ ท่าอากาศยาน ศุลกากร และโรงเก็บสินค้า เป็นต้น ต้นทุนด้านการขนส่งจะต่ำได้ต่อเมื่อการขนถ่ายและนำส่งผลิตภัณฑ์ถึงจุดหมายโดยเร็ว สูญเสียน้อย สินค้าถึงมือผู้รับตามเวลาโดยเร็ว ขั้นตอนกระบวนการศุลกากรทั้งนำเข้า-ส่งออก สะดวกรวดเร็ว ไม่ต้องเสียค่าเช่าโรงเก็บสินค้าหรือตู้คอนเทนเนอร์นานวัน ลดดอกเบี้ยของต้นทุนลงได้ด้วย
          การติดต่อสื่อสาร เพื่อการสั่งซื้อทั้งวัตถุดิบและสินค้า   ต้องสะดวกรวดเร็วและชัดเจน ระบบการถ่ายทอดส่งข้อมูลสารสนเทศ หรือ ไอที ต้องมีเครือข่าย   ที่เชื่อมต่อทั้งในประเทศและกับต่างประเทศอย่างทั่วถึง และเชื่อมโยงกับระบบอื่น ๆ ตั้งแต่แหล่งวัสดุ โรงงานผลิต กรมศุลกากรจน ถึงผู้ซื้อ  และมีมาตรฐานที่เป็นสากล   เพื่อมิให้มีการผิดพลาดเกิดขึ้น ไม่สูญเสีย สามารถประหยัดต้นทุนสินค้าได้ ประเทศต่าง ๆ ในโลกกำลังรณรงค์ด้านโลจิสติกส์ เพื่อลดต้นทุนผลผลิตของประเทศโดยเฉพาะด้านการขนส่ง
          กลุ่มยุโรป ค่าโลจิสติกส์คิดเป็นร้อยละ 7  ของผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ(จีดีพี) สหรัฐอเมริกา คิดเป็นร้อยละ 10 ของจีดีพี  ญี่ปุ่น เนื่องจากสภาพประเทศเป็นเกาะ ค่าโลจิสติกส์จึงสูงขึ้นถึงร้อยละ 11 ของจีดีพี ขณะที่ค่าโลจิสติกส์ของจีน อยู่ที่ร้อยละ 18 ของจีดีพี ทั้งนี้เนื่องจากต้นทุนด้านการขนส่งผลิตภัณฑ์เป็นค่าขนส่งร้อยละ 50 (สูงกว่าประเทศอื่นสองเท่า)        
          สำหรับ ประเทศไทย ยังไม่มีการศึกษาค่านี้ แต่คาดว่าสูงมาก เพราะความไม่สมบูรณ์และทันสมัยของระบบขนส่งบางชนิดที่ปกติควรประหยัดค่าใช้จ่ายมาก เช่น ทางรถไฟ และทางน้ำ โดยเฉพาะขาดการเชื่อมโยงการขนส่งต่างรูปแบบเข้าด้วยกันให้ต่อเนื่อง เช่น คอขวดของระบบทางหลวงเข้าสู่ท่าเรือหรือลานตู้คอนเทนเนอร์ของรถไฟ เป็นต้น รัฐบาลไทยจึงเร่งพัฒนาปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐานด้านการขนส่ง ทั้งระบบเอกเทศ (single mode) การขนส่งที่สนับสนุนการขนส่งระบบอื่น (feeder mode) และการปรับปรุงระบบศุลกากรให้รวดเร็วแบบ One Day Clearance หรือ หนึ่งวันทันใจเป็นต้น เพื่อลดค่าโลจิสติกส์ของประเทศและเพิ่มศักยภาพของประเทศที่จะแข่งขันกับประเทศอื่น ๆ
         
          อัตราค่าขนส่งสินค้าภายในประเทศของไทย พอจะประมาณได้ดังนี้
          - ทางน้ำ         0.24 บาท/ตัน/กิโลเมตร (ทางแม่น้ำเจ้าพระยาซึ่งมีระยะทางน้ำ 379 กม.)
          - ทางรถไฟ      0.57 บาท/ตัน/กิโลเมตร (ความยาวทั้งสิ้นประมาณ 4,044 กม. ทางเดี่ยว   และกำลังขยายเป็นทางคู่ประมาณ 234 กม.รอบ ๆ กทม.)
          - ทางถนน       1.20 บาท/ตัน/กิโลเมตร (ความยาวทั้งสิ้นประมาณ 160,000 กม.หรือเฉลี่ย 0.30 กม./ตร.กม. เป็นทางหลวงสายหลักประมาณ 60,000 กม.)
          - ทางเครื่องบิน 8.30 บาท/ตัน/กิโลเมตร (มีท่าอากาศยานทั้งสิ้น 31 แห่งเป็นท่าอากาศยานนานาชาติ 6 แห่ง มีจำนวนเที่ยวบิน 800-900 เที่ยว/วัน   ร้อยละ 36 เป็นเที่ยวบินภายในประเทศ)

หมายเหตุ:       การขนส่งทางรถไฟ ปัจจุบันการรถไฟไทยยังไม่มีโกดังแบบโลจิสติกส์รองรับทั้งต้นทางและปลายทางสำหรับสินค้าทั่ว ๆ ไป การขนส่งทางรถไฟและโกดังสินค้าควรจะเป็นโครงการของรัฐหรือให้มีการเปิดประมูลเป็นการทั่วไปแล้วแต่ข้อกำหนดของแต่ละหน่วยราชการนั้น ๆ
                   ศูนย์รับและส่งกระจายสินค้า รอบ ๆ กรุงเทพมหานครมีโครงการของรัฐที่จะสร้าง 4 มุมเมืองมานานแล้ว และในภูมิภาคอีก 3 แห่งคือ ที่สุราษฎร์ธานี ขอนแก่น และพิษณุโลก แต่ยังไม่เป็นรูปธรรมและครบวงจร  จากการขยายตัวของธุรกิจมาจนปัจจุบันน่าจะสร้างศูนย์รับส่งสินค้าชานเมืองไม่ต่ำกว่า 6 แห่งรอบ ๆ กทม. จึงจะพอเพียง และน่าจะเป็นองค์กรเอกชนสร้างขึ้นมาเอง แต่รัฐจะต้องอำนวยความสะดวกหลาย ๆ ด้านเพื่อจูงใจให้เกิดโครงการนี้ และจะต้องสร้างศูนย์นี้ในแต่ละจังหวัดที่มีการขนส่งมากพอ อันเป็นการที่จะได้ประโยชน์ในการลดปริมาณจราจรและประหยัดพลังงานเชื้อเพลิงต่าง ๆ อนึ่งภายในบริเวณศูนย์นี้ก็สามารถพัฒนาธุรกิจอื่น ๆ ให้เกิดขึ้นได้อีกมากมาย
         
          ส่วน อัตราค่าถ่ายโอนเอกสาร-ข้อมูลทางธุรกิจ มีหลากหลายระดับ ตั้งแต่โดยทางไปรษณีย์ ทางโทรสาร ถึงทางอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง  ในส่วนของระบบการสื่อสารโทรคมนาคม แบ่งออกเป็น 3 บริการ ได้แก่
          1. บริการโทรศัพท์พื้นฐาน (Fixed line service) มีผู้ให้บริการ 3 ราย โดย ณ ปี 2546 มีผู้ใช้บริการทั้งประเทศ 6.5 ล้านเลขหมาย ในภูมิภาคและในนครหลวงในสัดส่วน 3.0 : 3.5  ซึ่งชี้ให้เห็นว่าเขตนครหลวงมีโอกาสในการเข้าถึงเครือข่ายนี้สูงเป็น 7 เท่าของเขตภูมิภาค
          2. บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Cellular mobile service)  มีผู้ให้บริการ 8 ราย  และเป็นเจ้าของเครือข่าย 5 ราย     ในปี 2546 มีผู้ใช้บริการทั้งประเทศ  22.4 ล้านเลขหมาย หรือ 35.1 เลขหมายต่อประชากร 100 คน ซึ่งสูงเป็น 3.5 เท่าของบริการโทรศัพท์ประจำที่
          3. บริการอินเตอร์เน็ต เป็นบริการที่อาศัยการเข้าถึงเครือข่ายผ่านทางเครือข่ายโทรศัพท์พื้นฐาน     ในปี 2546 ในประเทศไทย มีผู้ให้บริการ 18 ราย  เป็นผู้ให้บริการรายใหญ่ 5 ราย โดยมีผู้ใช้บริการทั้งสิ้น 6 ล้านราย อุปสงค์ต่อแบนด์วิดธ์ทั้งหมดของประเทศขึ้นถึง 79 Mbps     
          จาก รายงานภาพรวมโครงสร้างพื้นฐาน ของสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมของชาติ แสดงแนวโน้มการขยายตัวของ สาขาขนส่ง ในกรณีฐาน มีอัตราเพิ่มของการขนส่งสินค้า ทางชายฝั่งทะเลร้อยละ 19.2 ต่อปี ทางอากาศร้อยละ 18.6 ทางถนนร้อยละ 6.5 ทางแม่น้ำร้อยละ 5.0 และทางรถไฟร้อยละ 2.9   ในขณะเดียวกันอัตราเพิ่มของการขนส่งคนทางอากาศร้อยละ 12.8 ต่อปี ทางถนนร้อยละ 5.3 และทางรถไฟร้อยละ 1.5       ในปี 2562 คาดคะเนว่าปริมาณสินค้าที่ขนส่งภายในประเทศรวม 1,467  ล้านตัน (523.27 ล้านตันในปี 2545) โดยขนส่งทางถนนในสัดส่วนร้อยละ 83.82 ทางชายฝั่งทะเลร้อยละ 12.43 และทางรถไฟร้อยละ 1.01 เป็นต้น ในขณะที่การขนส่งคนระหว่างจังหวัดในปี 2562 จะมีจำนวน 2,047 ล้านคน เป็นทางถนนร้อยละ 95.0 ทางรถไฟร้อยละ 2.72 และทางอากาศร้อยละ 2.29  ทั้งนี้ได้จากการนำอัตราการเพิ่มของการขนส่งไปคำนวณหาเป็นตัวเลขปริมาณสินค้า จำนวนคนเดินทาง และส่วนแบ่งของการขนส่งในแต่ละประเภทด้วย     
         
          ทุกวันนี้  โลจิสติกส์  มักจะเชื่อมโยงกับการจัดการโซ่อุปทาน และระบบการประมวลข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์     เมื่อเร็ว ๆ นี้   สำนักพิมพ์ สสท. ของสมาคมส่งเสริมเทคโนโลยี (ไทย-ญี่ปุ่น) ได้จัดพิมพ์หนังสือตำรา Supply Chain & Logistics: ทฤษฎีและตัวอย่างจริง ของ Prof. Tsutomu Araki แห่งมหาวิทยาลัยชิงะ ประเทศญี่ปุ่น ซึ่งแปลเป็นภาษาไทยโดย รศ.กฤษดา วิศวธีรานนท์ และ ดร.กุลพงศ์ ยูนิพันธ์ 

ระบบโลจิสติกส์และการบริหารจัดการ
     สำหรับการจัดการและการวางแผนระบบโลจิสติกส์นี้สำคัญมาก เพราะจะต้องมีแบบแผนและข้อกำหนดที่ชัดเจน โดยตั้งกฎให้ผู้ปฏิบัติทำอย่างเคร่งครัด ต้องมีการรายงานส่งเป็นลายลักษณ์อักษร และให้หัวหน้างานลงนามกำกับเพื่อตรวจสอบสินค้าอีกครั้ง แล้วจึงลงนามกำกับรับผิดชอบ และต้องมีการเขียนหมายเหตุทุกขั้นตอนการจัดการระบบโลจิสติกส์มีดังต่อไปนี้
1.      การจัดระบบขนส่งลำเลียงภายในโรงงานของผู้ผลิตสินค้า  สินค้าที่ผลิตต้องมีการตรวจสอบว่าได้มาตรฐานผ่านเป็นที่เรียบร้อย แล้วจึงจะทำการส่งมาเก็บไว้ในโกดัง ซึ่งการจัดการลำเลียงขนย้ายภายในโรงงาน จะต้องมีภาชนะใส่สินค้าบรรจุป้องกันความเสียหายที่อาจจะเกิดขึ้นได้ต่อสินค้านั้น ๆ หรือทำการบรรจุใส่กล่องสินค้าสำหรับสินค้าสำเร็จรูป แล้วนำมารวมกันไว้ให้เรียบร้อยสะดวกต่อการที่จะขนส่งออกไปภายนอกโรงงานหรือจัดส่งให้กับลูกค้าต่อไป
2.      การทำบัญชีสินค้าเข้าออกและสินค้าคงคลัง หัวหน้าคลังสินค้าต้องทำบัญชีสินค้าเข้าออกและสินค้าคงคลังว่ามีจำนวนเท่าไรในแต่ละวัน และบันทึกผู้ที่มารับสินค้าไปตามรายละเอียดแบบฟอร์มกรอกข้อความของโรงงาน สำหรับโรงงานที่มีการส่งออกไปต่างประเทศโดยตรง ก็ต้องประสานงานกับฝ่ายส่งออกโดยที่ฝ่ายส่งออกจะเป็นผู้ติดต่อดำเนินการด้านการขนส่งสินค้าและพิธีการศุลกากร
3.      การจัดซื้อวัตถุดิบและการจัดเก็บ เพื่อให้ทันกับการผลิตแบบสนองความต้องการของลูกค้าและบริหารการจัดส่ง การผลิตอาจมีความจำเป็นในการสั่งวัตถุดิบจากที่อื่นมาทด แทนในกรณีที่วัตถุดิบที่มีอยู่ไม่พอเพียงเพื่อให้ผลิตได้ทันและจัดส่งตามใบสั่งซื้อจากลูก ค้าโดยเฉพาะลูกค้าในประเทศที่จะต้องจัดส่งให้ทันเวลาและมีลูกค้าจำนวนหลากหลาย
4.      การบริหารบุคลากรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น โดยต้องมีความรับผิดชอบต่อคุณภาพสินค้าและเวลาที่จะต้องส่งมอบสินค้า หรืออาจจะมีการโยกย้ายไปแผนกอื่น ๆ บ้าง การบริหารบุคลากรต้องมีการอบรมกันเป็นประจำถึงแม้ว่าจะไม่เกิดปัญหาใดก็ตาม ทั้งนี้เพื่อให้เข้าใจในกระบวนการผลิตสินค้า ซึ่งจะต้องส่งให้ทันเวลากับสายการผลิตของลูกค้าแต่ละราย ถ้าส่งไม่ทันก็จะทำให้การผลิตต่อเนื่องของลูกค้านั้น ๆ ได้รับผลกระทบล่าช้าตามมาด้วย
5.      กรณีสินค้าผลิตไม่ได้มาตรฐาน ถ้ามีการขนส่งออกไปอาจจะถูกส่งกลับมา ทำให้เสียค่าขนส่งเพิ่มขึ้นและเสียหายต่อต้นทุนในการผลิตชดเชยโดยเปล่าประโยชน์ และจำเป็นที่จะต้องนำไปส่งอีกครั้ง ซึ่งต้นทุนการขนส่งจะเพิ่มเป็น 2 เที่ยว และการจัดเก็บสินค้าที่ไม่ได้คุณภาพก็เป็นภาระในการแปรสภาพ ส่วนสินค้าคืนที่ยังพอที่จะขายลดราคาได้ ก็ต้องเก็บรักษาไว้อย่างดีรอลูกค้าที่จะมาเหมาเพื่อส่งไปขายได้อีกทั้งในประเทศและนอกประเทศ ซึ่งก็มีบริษัทรับซื้ออยู่เสมอและผู้ที่มารับซื้อไปแล้วก็ต้องมีการบริหารคลังสินค้าแบบโลจิสติกส์ด้วย
6.      ระบบโลจิสติกส์ที่ทำกันอย่างดีมีคุณภาพ มีข้อสำคัญคือ รถบรรทุกและพนักงานขับรถ  ต้องระลึกไว้ด้วยว่า รถบรรทุกคือเครื่องจักรชนิดหนึ่งที่ใช้นำพาสินค้าเพื่อการส่งมอบนั้น ขับเคลื่อนไปมาได้โดยอาศัยพนักงานขับรถ การเลือกใช้รถต้องให้เหมาะสมกับกิจการของตัวเองตามลักษณะของงานและต้องบำรุงรักษากันตามกำหนด ซึ่งไม่ต่างจากเครื่องจักรทั่วๆไป การประหยัดค่าน้ำมัน การประหยัดค่าสึกหรอ อุปกรณ์สิ้นเปลืองต่างๆ การประกันอุบัติเหตุและความเสียหายของสินค้า ฯลฯ นั้นเป็นงานใหญ่อีกงานหนึ่งที่อาจต้องสร้างขึ้นเป็นแผนกใหญ่อีกแผนกหนึ่งโดยเฉพาะถ้ามีงานขนส่งมาก หลายๆโรงงานมักใช้วิธีจ้างบริษัทขนส่งมารับช่วงต่อเพื่อที่จะลดภาระในองค์กร โดยจะจ้างบริษัทขนส่งที่ค่อนข้างมีบริการดี มีระบบโลจิสติกส์แบบครบวงจร นั่นคือ การบริการแบบเบ็ดเสร็จ ณ ที่เดียวที่เรียกว่า one stop service พร้อมด้วยการรายงานและให้คำปรึกษาพร้อมร่วมกันวางแผนงานกับลูกค้าตลอดเวลา 

     การที่จะสร้างและทำธุรกิจแบบโลจิสติกส์ในด้านบริการ มี 4 ลักษณะคือ
·       แบบในประเทศ
·       แบบสากลระหว่างประเทศ(การส่งออก)
·       งานโครงการขนาดใหญ่ที่มีการใช้รถเครื่องกลขนาดใหญ่และรถบรรทุกขนาดใหญ่
·       การขนส่งผลิตภัณฑ์เกษตรกรรม

การที่จะสร้างและทำธุรกิจแบบโลจิสติกส์ในด้านบริการ มี 4 ลักษณะคือ
·       แบบในประเทศ
·       แบบสากลระหว่างประเทศ(การส่งออก)
·       งานโครงการขนาดใหญ่ที่มีการใช้รถเครื่องกลขนาดใหญ่และรถบรรทุกขนาดใหญ่
·       การขนส่งผลิตภัณฑ์เกษตรกรรม


1.
      แบบภายในประเทศ การขนส่งภายในประเทศทำการกันเป็นแบบขนส่งทั่ว ๆ ไปและ
แบบส่งร่วมแต่ยังไม่ถึงมือลูกค้าโดยตรง ทุกวันนี้ มีพัฒนาการออกแบบตัวรถบรรทุกให้มีความสะดวกและทันสมัยมากขึ้น และคงอีกไม่นานนัก จะมีนักลงทุนสร้างเครือข่ายสาขาศูนย์โลจิสติกส์แต่ละภูมิภาคหลายสาขาเพื่อให้ได้รับสินค้าทั้งขาไปและขากลับ เพื่อเป็นการลดต้นทุนและเพิ่มรายได้ ซึ่งส่วนหนึ่งจะทำให้ค่าขนส่งมีราคาถูกลงได้บ้าง การก่อสร้างคลังสินค้าแบบลักษณะโลจิสติกส์จะต้องจ้างวิศวกรซึ่งมีความรู้ด้านโลจิสติกส์พอควร ทั้งนี้เพื่อออกแบบให้มีความสะดวก ปลอดภัย ทันสมัย และกำหนดสิ่งอำนวยความสะดวกให้ครบถ้วน ในการที่จะประกอบกิจการของแต่ละสาขานั้น ๆ รวมทั้งการใช้คอมพิวเตอร์ระบบออนไลน์ทั้งในกิจกรรมของบริษัทและที่จะขยายไปถึงลูกค้าแต่ละรายด้วย การจัดเก็บรักษา การคัดเลือกและแยกหรือรวมสินค้าเพื่อให้เกิดความสะดวกในการที่จะส่งของในคราวต่อไป
2.      แบบสากลระหว่างประเทศ (การส่งออกและนำเข้าสินค้า)        การขนส่งสินค้าออก
และสินค้าเข้าคือเมื่อสินค้าพร้อมที่จะส่งออกจากโกดังโลจิสติกส์ หรือคลังสินค้าของโรงงานแล้ว หมายถึงว่ามีการแพคกิ้งเป็นมาตรฐานเพื่อการส่งออกและพร้อมด้วยใบอนุญาตต่าง ๆ ถ้าจำเป็นต้องใช้แล้วบริษัทขนส่งระบบโลจิสติกส์จะดำเนินการล่วงหน้าดังนี้
-          การจองเรือเดินสมุทรหรือสายการบิน (Freight forwarder)
-          การผ่านพิธีการทางศุลกากรและสิทธิพิเศษต่าง ๆ ที่จะได้รับชดเชยภาษี
-          นำตู้คอนเทนเนอร์มาบรรจุที่โกดังโลจิสติกส์หรือคลังสินค้าของโรงงานแล้วบรรทุกไปที่ท่าเรือที่กำหนดไว้                                                         
ระบบโลจิสติกส์สามารถให้บริการกับโรงงานที่มีสินค้าเป็นของตัวเองได้ เช่นการตรวจสินค้าที่จะส่งออกและทำบัญชีสินค้าคงคลังได้ และหากได้รับความเชื่อถือมากอาจจะให้บริการการบริหารคลังสินค้าแบบเบ็ดเสร็จและการทำแพคกิ้งลังสินค้า การบรรจุสินค้าเข้าตู้คอนเทนเนอร์เหมือนในบางประเทศก็ได้มีการดำเนินการอยู่บ้างแล้ว
          3. งานโครงการขนาดใหญ่ งานก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ที่ต้องใช้เครื่องกลหนักหรือโรงงานอุตสาหกรรมหนักที่ต้องมีเครื่องจักรน้ำหนักมาก อีกทั้งยังเกี่ยวข้องกับการขนส่งวัสดุก่อสร้างหรือวัตถุดิบสำหรับการผลิตจำนวนมาก การรับงานขนส่งเคลื่อนย้ายเครื่องกลและเครื่องจักรขนาดหนักและวัสดุนี้ต้องใช้วิศวกรคิดคำนวณ สำรวจเส้นทาง วางแผนการทำงานโดยละเอียด ซึ่งงานลักษณะนี้จะต้องเขียนรายงาน      ขั้นตอนในการที่จะทำงานและความเป็นไปได้อย่างละเอียดเสนอต่อเจ้าของงาน โดยใช้ระบบโลจิสติกส์มาช่วยในการจัดการและบริหารวางแผนงานต่าง ๆ ทั้งนี้เพื่อช่วยให้งานนั้นมีความราบรื่นด้วยดี
          4.  การขนส่งพืชเกษตร-ผลไม้และสัตว์น้ำ การขนส่งลักษณะนี้จำเป็นต้องใช้รถบรรทุกแบบมิดชิด มีการควบคุมอุณหภูมิ เช่นประมาณ 24 องศาสำหรับพืชเกษตร ทั้งนี้แล้วแต่พืชผักแต่ละชนิด และแช่แข็งสำหรับสัตว์น้ำ  การออกแบบภายในรถบรรทุกจะต้องมีชั้นและช่องวางสินค้าเพื่อป้องกันความเสียหายจากการซ้อนทับกัน หรือใส่ภาชนะบรรจุพลาสติกโดนสามารถซ้อนกันได้ ภาชนะบรรจุที่ได้มาตรฐานสามารถใช้ได้ทั้งการส่งภายในประเทศและการส่งออกไปต่างประเทศด้วย สำหรับการขนส่งสินค้าเกษตรกรรมในปริมาณมากที่ใช้การขนส่งทางน้ำ ถ้าเป็นการส่งออกก็จะใช้เรือฉลอมซึ่งสามารถเข้าไปเทียบกับเรือเดินสมุทรได้โดยตรง
          ภาชนะบรรจุ กล่องกระดาษหลายชนิดซึ่งมีความแข็งพอที่จะซ้อนกันได้สูงก็เป็นสิ่งจำเป็น เพื่อให้สินค้านั้นๆปลอดภัยแต่ก็ต้องเสียค่าบริการกล่องกระดาษด้วย สำหรับสินค้าที่อาจแตกเสียหายได้ง่าย ก็ต้องทำการแพ็คกิ้งใหม่หรืออาจจะใช้วิธีตอกลังไม้เพิ่ม ถึงแม้ว่าจะเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นบ้างแต่สินค้าถึงมือผู้รับโดยปลอดภัย ปัจจุบันได้มีการพัฒนาด้านบรรจุภัณฑ์อย่างมาก ในต่างประเทศที่เจริญมากแล้ว ภาชนะบรรจุมักเน้นให้มีแบบที่สวยงามอย่างพิถีพิถัน ซึ่งราคาภาชนะบรรจุอาจสูงมากพอ ๆ กับราคาสินค้า โดยเฉพาะสินค้าที่เป็นของกินและอาหาร
     

วันเสาร์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

มาร์โค โปโล

มาร์โก โปโล


           มาร์โค โปโล: Marco Polo) เกิด 15 กันยายน พ.ศ. 1797 (ค.ศ. 1254) ณ เกาะคอรชูล่า ในประเทศโครเอเชียปัจจุบัน (Korčula) เสียชีวิต 8 มกราคม พ.ศ. 1866[1] (ค.ศ. 1324) เป็นนักเดินทางค้าขายและนักสำรวจชาวเมืองเวนิส ประเทศอิตาลี มาร์โก โปโลเป็นชาวตะวันตกคนแรก ๆ ที่ได้เดินทางตามเส้นทางสายไหม (ร่วมกับบิดาและลุงของเขา) ไปยังประเทศจีน (ซึ่งเขาเรียกว่า คาเธ่ย์) และได้เข้าเฝ้าจักรพรรดิกุบไล ข่านแห่งจักรวรรดิมองโกล ผู้เป็นหลานปู่ของเจงกีส ข่าน และได้ใช้ชีวิตอยู่ที่เมืองหางโจวช่วยงานราชสำนักถึง 17 ปี ก่อนเดินทางกลับบ้านเกิด 

16th century painting of Marco Polo
          หนังสือเล่มดังกล่าวได้แพร่หลายไปในรูปของข้อความที่ได้รับการคัดสำเนาด้วยลายมือ จนกระทั่งมันได้รับการตีพิมพ์ออกมาครั้งแรกเป็นเล่มในปี 1477. ต้นฉบับลายมือดั้งเดิมนั้น เชื่อกันว่าเป็นภาษาฝรั่งเศส ทั้งนี้เพราะต้นฉบับที่เป็นภาษาอิตาเลี่ยนจำนวนมากนั้นไม่ได้เหลือรอดต่อมาให้เห็นเลย. ทราบกันว่ามีการคัดสำเนาเรื่องนี้เอาไว้ราว 140 ก๊อปปี้ ในภาษาต่างๆอย่างหลากหลาย. และไม่มีต้นฉบับเล่มใดที่เหมือนกันจริงๆกับเนื้อหาต้นฉบับเลย.



A page from a manuscript of Il Milione
        ตอนที่มาร์โคโปโลเดินทางไปประเทศจีนครั้งแรกนั้น เขาเดินทางไปกับครอบครัวของเขาและเขาได้ค้นพบว่าจีนมีแหล่งพลังงานที่ยิ่งใหญ่อยู่ 2 แหล่งคือดินปืน และบะหมี่
โคลัมบัส
        ผู้ซึ่งได้อ่านบันทึกการเดินทางของมาร์โค โปโล ได้บันทึกข้อความลงในหนังสือของเขาว่า มันเป็นเพราะบันทึกการเดินทางเกี่ยวกับคาเธ่ย์ ของมาร์โค โปโล นั่นเอง ที่ทำใหข้าพเจ้ามุ่งหน้าสู่ทิศตะวันตกในปี 1492. มาร์โค โปโล (Marco Polo)[c.1254-1324]
         มาร์โค โปโล นักเดินทางในสมัยกลางชาวอิตาเลี่ยน ถือว่าเป็นชาวยุโรปคนแรก ที่เดินทางข้ามทวีปเอเชีย และได้เขียนบันทึกการเดินทางเกี่ยวกับสิ่งที่เขาได้ยินได้ฟังเอาไว้. หนังสือบันทึกการเดินทางของเขาได้รับการรู้จักกันในภาษาอังกฤษว่า The Travels of Marco Polo, ในหนังสือเล่มดังกล่าว เขาได้อธิบายถึงทวีปๆหนึ่ง ซึ่งไม่เป็นที่รู้จักกันเลยสำหรับชาวยุโรปในยุคสมัยของเขา. เขาได้พรรณาถึงอารยธรรมเกี่ยวกับจีน ซึ่งเจริญเหนือกว่าวัฒนธรรม และเทคโนโลยีของชาวยุโรป. แต่เนื่องจากว่าบางส่วน มีนัยะที่เป็นไปในเชิงยกยอปอปั้น, หนังสือเล่มนี้จึงไม่ได้รับการพิจารณาในสาระสำคัญ เพราะถือว่าเป็นเรื่องที่เสกสรรค์ขึ้นมา และเป็นเรื่องเกินความจริงไป. จนกระทั่งคริสตศตวรรษที่ 19 นักวิชาการและบรรดานักสำรวจทั้งหลาย จึงยืนยันถึงความถูกต้องเที่ยงตรงโดยทั่วๆไป เกี่ยวกับการสังเกตุการณ์ของมาร์โค โปโล.

The Polo family arrives in a Chinese city
          ครอบครัวของมาร์โค โปโล และการเดินทางของพวกเขา
พ่อของมาร์โค โปโล, Niccolo, และลุงของเขา Maffeo เป็นพ่อค้าที่มั่งคั่งแห่ง Venetian Republic. ตอนที่มาร์โคยังเป็นเด็กอยู่ พ่อและลุงของเขาได้จากครอบครัวในเวนิส และออกเดินทางไกลไปในดินแดนที่ไม่ได้คาดหวังเอาไว้ จนไปถึงประเทศจีน. ในช่วงเวลานั้น ไม่มีชาวคริสเตียนตะวันตกคนใดเท่าที่ทราบ ได้เคยเดินทางไปประเทศจีนมาก่อน, และเมื่อตระกูลโปโลได้เดินทางไปถึงประเทศจีน พวกเขาก็ได้รับการต้อนรับด้วยไมตรีจิตอย่างอบอุ่นโดยผู้ปกครอง นามว่า Kublai Khan, จักรพรรดิ์แห่งมองโกลส์. 



          กุปไบล ข่าน ได้สอบถามคนทั้งสองด้วยความสนใจอย่างยิ่งเกี่ยวกับดินแดนยุโรป. พระองค์ได้มอบหมายให้ทั้งคู่นำพระราชสาส์นไปมอบให้กับ Pope Clement IV เพื่อขอให้ทรงส่งผู้คนแก่เรียนจำนวน 100 คนมายังราชสำนักของพระองค์ เพื่อจะได้ถกกันถึงปัญหาธรรมมะ และสนทนากนถึงคุณความดีของคริสตศาสนา. ตระกูลโปโลได้รับปากว่า จะนำน้ำมันจากตะเกียงเหนือหลุมฝังพระศพขององค์พระเยซูคริสต์ในกรุงเยรูซาเล็มกลับมาด้วย.
          ในปี 1269 สองพี่น้องตระกูลโปโล ได้เดินทางกลับมาถึงป้อมปราการ Crusader of Acre ในปาเลสไตน์. ฑูตของสันตะปาปาที่ Acre, Teobaldo Visconti, ได้ให้ข่าวแก่คนทั้งสองว่า Pope Clement ได้สิ้นพระชนม์แล้ว แต่ได้เร่งเร้าให้พวกเขาปฏิบัติตามพันธกิจของตน เมื่อองค์สันตะปาปาองค์ใหม่ได้รับการเลือกตั้งขึ้น. สองพี่น้องตระกูลโปโลอธิบายว่า จะใช้เวลาในช่วงระหว่างนั้นไปเยี่ยมครอบครัวของตน, แต่ในขณะที่เดินทางกลับมายังบ้านเกิด Niccolo ได้ทราบข่าวว่า ภรรยาของเขาได้ถึงแก่กรรมลงแล้ว. บุตรชายของเขา Marco ตอนนี้ก็มีอายุย่างเข้า 15 ปีแล้ว. 

          พร้อมน้ำมันตะเกียงและจดหมายฉบับหนึ่งจากท่านฑูตขององค์สันตะปาปา ตระกูลโปโลทั้งสามคนก็เริ่มออกเดินทางไกลไปยังประเทศจีน. ก่อนที่พวกเขาจะออกเดินทางไกลครั้งนี้ พวกเขาได้รับรู้จาก Teobaldo เองว่าจะได้รับเลือกให้เป็นสันตะปาปา ตัวท่านเองจะเป็นผู้ตอบรับคำขอของจักรพรรดิ์กุปไบล ข่าน. แต่ว่าสันตะปาปาองค์ใหม่, ผู้ซึ่งได้ฉายาว่า Gregory X, สามารถที่จะส่งผู้คงแก่เรียนหรือมิชชันนารีไปกับครอบครัวโปโลได้เพียง 2 คนเท่านั้น แทนที่จะเป็น 100 คนตามที่ได้มีพระราชสาส์นขอมา. ถึงกระนั้นก็ตาม มิชชันนารีทั้งสองคนนี้ ต่อมาไม่นานก็ได้ละทิ้งการเดินทางนี้ไปเสีย.  

          การเดินทางซึ่งต้องข้ามภูเขาและทะเลทรายแห่งเอเชีย ทำให้พวกเขาต้องใช้เวลาในการเดินทางยาวนานถึง 3 ปีครึ่งทีเดียว, และมาสิ้นสุดที่ Shangtu, อันเป็นเมืองหลวงสำหรับฤดูร้อนขององค์จักรพรรดิ์กุปไบล ข่าน. องค์พระจักรพรรดิ์ฯ ได้ต้อนรับนักเดินทางด้วยเครื่องหมายอันแสดงถึงไมตรีจิตที่พิเศษ และรับรอง Marco ด้วย ซึ่งตอนนี้เขามีอายุ 20 ย่าง 21 ปีแล้ว, พวกเขาต่างๆได้รับการต้อนรับท่ามกลางผู้รับใช้ของพระองค์อย่างสมเกียรติ.
          ถึงแม้ว่ามันจะไม่เป็นที่ชัดเจนนักว่า สิ่งที่ตระกูลโปโลทำนั้นในช่วง 17 ปีที่พำนักอยู่ในประเทศจีนคืออะไร, แต่เป็นที่ทราบกันดีว่ากุปไบล ข่าน ได้ใช้เจ้าหน้าที่ทางการชาวต่างประเทศเป็นจำนวนมาก และมาร์โคได้รับหน้าที่กระทำภารกิจในเรื่องที่ต้องสัญจรไปในที่ห่างไกลของจักรวรรดิ์ และได้บรรลวัตถุประสงค์อยู่เนืองๆ. สำหรับการเดินทางครั้งหนึ่งนั้น ได้อนุญาตให้มาร์โค โปโล เดินทางไปยังทิศตะวันตกเฉียงใต้จนถึงเมืองยูนาน และเป็นไปได้ว่า เขาจะไปถึงประเทศพม่าด้วย. ส่วนอีกครั้งของการเดินทางนั้น เขาได้ท่องไปยังทิศตะวันออกเฉียงใต้สู่เมืองหางโจว อันถือว่าเป็นเมืองใหญ่แห่งหนึ่งซึ่งทัดเทียมไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าความงดงามของเมืองหลวงของจักรพรรดิ์กุปไบล ข่าน, นั่นคือ เมือง Taitu หรือ Khanbalik (หรือปักกิ่งนั้นเอง).

       มันมีเหตุผลที่จะคิดไปได้ว่า มาร์โค โปโล ได้มีความสัมพันธ์กันบางอย่างกับผู้บริหารที่ได้รับเอกสิทธิ์เกี่ยวกับการค้าเกลือ. แต่มันไม่ได้รับการบันทึกเอาไว้ในรายงาน. ในเรื่องเล่าส่วนใหญ่ของหนังสือบันทึกการเดินทางของมาร์โค โปโล, ผู้บริหารเกี่ยวกับการค้าเกลือนี้ เขาเป็นผู้ปกครองเมืองหยางโจว ซึ่งถือว่าเป็นเมืองที่มีความสำคัญ และตระกูลโปโลได้มีบทบาทอย่างสำคัญในการยึดครองของมองโกลส์เกี่ยวกับเมือง Saianfu ด้วย.
                                              
          ในที่สุด พอถึงปี 1929 ตระกูลโปโลก็ได้ออกจากเมืองจีน ซึ่งในช่วงเวลานั้น จักรพรรดิ์กุปไบล ข่าน ย่างเข้าสู่วัยชราภาพแล้ว. ชาว Venetian ทั้งสามเกรงว่า ข้าราชบริภารราชสำนักที่เป็นภัยต่อพวกเขาอาจนำอันตรายมาสู่พวกเขาได ้เมื่อผู้ปกป้องพวกเขาต้องเสด็จสวรรคต. การรู้ว่า เจ้าหญิงพระองค์หนึ่งของจักรพรรดิ์กุปไบล ข่านได้รับการยกให้กับผู้ปกครองชาวมองโกลส์แห่งเปอร์เชีย เป็นช่องทางอันหนึ่งที่พวกเขาจะได้ออกจากเมืองจีนและกลับไปยังบ้านเกิดของตน, ดังนั้น ตระกูลโปโลจึงขอพระราชทานอนุญาตจากกษัตริย์กุปไบล ข่าน เพื่อไปเป็นผู้คุ้มกันในขบวนเสด็จของเจ้าหญิง ทั้งๆที่จักรพรรดิ์กุปไบล ข่านจะไม่เต็มพระทัยก็ตาม.
          การเดินทางนั้นใช้เส้นทางเรือมุ่งหน้าออกสู่ทะเล และจากเปอร์เชีย ตระกูลโปโล ในท้ายที่สุด ก็ได้มาถึงเมืองเวนิสในปี 1295 หลังจากที่ต้องร้างลาจากบ้านเกิดมานานถึง 24 ปีเต็ม. 


          เรื่องเล่าตำนานอันนี้ เมื่อแรกมันไม่ได้รับการยอมรับ, ทั้งนี้เพราะ มันเป็นเรื่องที่แปลกประหลาดต่อเพื่อนบ้านของพวกเขา เกี่ยวกับการสร้างโชคลาภขึ้นมาด้วยอัญมณีจากเสื้อบุชั้นใน ในเสื้อผ้าของพวกเขา. ในช่วงเวลาระหว่าง 3 ปีต่อมา, มาร์โค โปโล ได้ถูกจับเป็นเชลยในสงครามทางทะเลระหว่างเวนิสและจีนัว. ในคุกของจีนัว เขาได้เล่าถึงประสบการณ์ของตนเองในเอเชียแก่บรรดาคนคุกทั้งหลายฟัง. และเมื่อนักโทษคนหนึ่ง นามว่า Rustichello, ซึ่งเป็นนักเขียนเรื่องโรมานส์ ได้เสนอเรื่องราวอันน่าสนใจเกี่ยวกับสิ่งที่มาร์โค โปโลได้พูดถึงนี้เป็นลายลักษณ์อักษร, มาร์โค โปโล ก็ยอมรับว่าเป็นเช่นนั้นจริง และได้ส่งบันทึกการเดินทางดังกล่าวไปยังเมืองเวนิส. ด้วยวิธีการนี้ การเดินทางครั้งนั้นของมาร์โค โปโล จึงได้ถุกบันทึกสำหรับชนรุ่นหลังต่อมา. 


           เมื่อได้รับการปลดปล่อยจากการเป็นนักโทษราวปี 1299,
มาร์โค โปโล ได้หวนคืนกลับไปยังเมืองเวนิส และได้เริ่มต้นทำการค้าของเขาขึ้นมาอีกครั้ง. เขาได้แต่งงานและมีลูก และถึงแก่กรรมลงในปี 1324. ตอนที่เขาถึงแก่กรรมนั้น ได้ทิ้งหลักทรัพย์ซึ่งเป็นที่ดินมากมายให้แก่ลูกสาว 3 คนของเขา. บนเตียงนอนก่อนที่เขาจะตาย เขาได้พูดออกมาซึ่งมีบันทึกเอาไว้ว่า : "ข้าไม่ได้เล่าเรื่องราวอีกครึ่งหนึ่งที่ข้าได้ไปพบเห็นมา ให้ใครฟัง เพราะว่าข้ารู้ดีว่ามันคงจะไม่มีใครเชื่อ

หนังสือของมาร์โค โปโล
           ชื่อเรื่องเดิมเกี่ยวกับหนังสือของมาร์โค โปโล นั้นคือ Description of the World (คำอธิบายเกี่ยวกับโลก). จุดมุ่งหมายของเขาเกี่ยวกับงานชิ้นนี้ เขาเขียนขึ้นมาก็เพื่อ ต้องการให้คนอื่นๆนำเอาความรู้ที่เขาเรียนรู้มาไปใช้ได้ ทั้งนี้เป็นการรวบรวมขึ้นมาจากสิ่งที่เขาได้พบเห็นโดยตรง และเรื่องราวที่น่าเชื่อถือที่เขาได้ยินมา. ด้วยเหตุดังนั้น หนังสือเล่มดังกล่าว จึงครอบคลุมสถานที่ต่างๆ อย่างเช่น ญี่ปุ่น และอาร์คติค ซึ่งเขายอมรับว่าเขาไม่เคยไปแวะเวียนที่นั่นมาเลย.
                 มาร์โค โปโล เป็นคนที่สนใจในทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับประเทศหนึ่ง, เช่นเดียวกับจักรพรรดิ์กุปไบล ข่าน, ซึ่งสำหรับพระองค์ทรงมีบุคลิกลักษณะเช่นนี้. มาร์โค โปโล ได้ฝึกฝนพลังแห่งการสังเกตุและเฝ้าดูของตนเองขึ้นมา เพื่อที่จะเขียนรายงานที่สมบูรณ์เท่าที่จะทำได้เกี่ยวกับการเดินทางที่เป็นทางการ. หนังสือของมาร์โค โปโลเกี่ยวกับข้องกับรูปร่างของผืนแผ่นดิน, สัตว์ และพืชพันธุ์ต่างๆ สิ่งประดิษฐ์ การผลิต ขนบธรรมเนียมประเพณี รัฐบาล และศาสนา. สิ่งที่น่าพิศวงมากมายที่เขาได้บันทึกเอาไว้ มาถึงตอนนี้ กลายเป็นเรื่องธรรมดาไม่น่าสนใจแล้ว; ดังเช่น หินและของเหลวซึ่งติดไฟได้ ปัจจุบันเราทราบกันแล้วว่าคือถ่านหินและน้ำมัน. ส่วนสิ่งที่แปลกประหลาดอื่นๆนับแต่ที่ได้รับการยืนยัน อย่างเช่น เรื่องราวของมนุษย์กินคนแห่งสุมาตรา, ยังคงมีเสน่ห์ตรึงใจอยู่. เรื่องราวที่ฟังดูเหลวไหลไร้สาระที่รู้กันทั่วไป อย่างเช่น ชนเผ่าหนึ่งซึ่งมีหาง ปกติแล้วไม่ได้เป็นที่รับรองโดยส่วนตัว. สำหรับเหตุผลบางประการ มาร์โค โปโล ไม่ประสบความสำเร็จที่จะกล่าวถึงหลายสิ่งหลายอย่างที่น่าสนใจมาก, ซึ่งอันนี้รวมถึงกำแพงเมืองจีนที่ยิ่งใหญ่มากและการดื่มน้ำชา. เขาอาจจะคิดว่ารายละเอียดอันนั้น มันไม่น่าเชื่อถือหรือไม่มีความสำคัญ หรือเขาอาจจะหลงลืมมันไป. ทั้งนี้เพราะ เรื่องคลาสสิคของมาร์โค โปโล ก็คือ ผลงานชิ้นหนึ่งทางด้านวิทยาศาสตร์ ยิ่งกว่าเรื่องราวอัตชีวประวัติและเรื่องเล่าของการเดินท



          หนังสือที่เขาเขียนขึ้นมา มันได้เผยถึงบุคลิกภาพส่วนตัวของเขาเพียงเล็กน้อยเท่านั้น หรือแม้แต่เรื่องราวของการผจญภัยที่เขาประสบก็ตาม. แน่นอน มาร์โค โปโล มีความอยากรู้อยากเห็นมาก และเป็นนักสังเกตุการณ์ที่หลักแหลมที่สุดคนหนึ่ง. เขาจะต้องเป็นบุคคลที่มีใจห้าวหาญ เป็นคนเจ้าความคิด และกล้าแกร่งพร้อมที่จะเผชิญกับความยากลำบาก. เขาเป็นคนที่มีอคติ ในฐานะชนชาวคริสเตียนในสมัยกลางซึ่งมีต่อศาสนาอิสลาม แต่ก็เป็นคนซึ่งมีจิตใจเปิดกว้างเกี่ยวกับพุทธศาสนาและศาสนาฮินดู. ในความตั้งใจของเขานั้น เขาได้ปลดปล่อยทาสชาวตาต้าให้เป็นอิสระ.
         
          มาร์โคโปโลผู้บุกเบิกเอเซีย สำหรับหนังสือพิมพ์โพสต์ ทูเดย์ ประจำวันอาทิตย์ที่  25 มีนาคม 2550 โดยวิกรม กรมดิษฐ์ ประธานมูลนิธิอมตะ 
          ชีวิตการเดินทางอันยาวไกลของมาร์โค โปโล ต้องสิ้นสุดลงเมื่อ ปี ค.ศ. 1324 ขณะที่เขาอายุได้ 71 ปี ร่างของเขาได้ถูกฝังที่โบสถ์ ซาน ลอเร็นโซ่ กล่าวกันว่าเมื่อเขาใกล้จะสิ้นลม ประโยคสุดท้ายที่เขาได้พูดกับบาทหลวงที่คอยรับการสารภาพบาปคือ ฉันไม่ได้เล่าเรื่องราวอีกครึ่งหนึ่งที่ได้พบ เพราะฉันรู้ว่าเล่าไปก็ไม่มีใค






- ดาวโหลดเพลงอีกมากมายคลิ๊กเลย

วันศุกร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ธุรกิจขนส่งเพื่อการท่องเที่ยว

ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับการขนส่งผู้โดยสารเพื่อการท่องเที่ยว

ความหมายของการขนส่ง
     การขนส่งโดยทั่วไป หมายถึง "การเคลื่อนย้ายบุคคล สิ่งมีชีวิต หรือสิ่งของจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง โดยอาศัยอุปกรณ์ในการขนส่ง"
     ความหมายของการขนส่งตามพระราชบัญญัติการขนส่งทางบก พ.ศ. 2522 หมายถึง "การขนส่ง คน สัตว์ หรือสิ่งของโดยทางบกด้วยรถ"
     ความหมายของการขนส่งทางเศรษฐศาสตร์ หมายถึง "การเคลื่อนย้ายบุคคลสิ่งมีชีวิตหรือสิ่งของจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่ง โดยอาศัยอุปกรณ์ในการขนส่ง ตามความต้องการและเกิดอรรถประโยชน์"

ความสำคัญของการขนส่ง         
     ความสำคัญของการขนส่ง สามารถแบ่งออกได้ ดังนี้
     ด้านการพัฒนาเศรษฐกิจ การขนส่งเป็นปัจจัยพื้นฐานในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ดังนี้
          1. การขนส่งช่วยขยายตลาดให้กว้างขึ้น เมื่อธุรกิจทำการผลิตสินค้าได้ การขนส่งจะทำหน้าที่ในการกระจายสินค้าไปสู่ผู้บริโภคทั้งภายในและภายนอกประเทศ ทำให้ตลาดของสินค้าขยายตัวกว้างขึ้น รายได้จากการจำหน่ายสินค้าเพิ่มมากขึ้น ธุรกิจก็จะเป็นธุรกิจที่มีขนาดใหญ่
          2. การขนส่งช่วยลดต้นทุนในการผลิต ในการผลิตธุรกิจจำเป็นต้องมีการขนย้ายวัตถุดิบจากแหล่งวัตถุดิบมายังแหล่งผลิต การขนส่งที่มีประสิทธิภาพจะสามารถทำการขนส่งวัตถุดิบในแต่ละครั้งได้เป็นจำนวนมาก ซึ่งช่วยประหยัดต้นทุนในการผลิตสินค้าได้และการที่ธุรกิจสามารถขยายตลาดโดยจำหน่ายสินค้าทั้งภายในและภายนอกได้ ทำให้ธุรกิจต้องทำการผลิตสินค้าเป็นจำนวนมาก มีคุณภาพเป็นมาตรฐานเดียวกัน ในการผลิตธุรกิจขนาดใหญ่ จึงใช้เครื่องจักรในการผลิต ก่อให้เกิดการผลิตขนาดใหญ่ และช่วยลดต้นทุนในการผลิตต่อหน่วยได้
          3. การขนส่งช่วยให้เกิดการจ้างแรงงาน การขนส่งก่อให้เกิดการผลิตขนาดใหญ่ทำให้ธุรกิจมีความต้องการแรงงานมากขึ้นและเป็นการนำแรงงานจากที่หนึ่งที่มีแรงงานจำนวนมากไปอีกที่หนึ่งที่มีความต้องการแรงงาน เช่น คนงานจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือซึ่งมีภูมิประเทศค่อนข้างแห้งแล้ง คนส่วนใหญ่ไม่มีงานทำ การขนส่งทำให้คนงานจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือสามารถมาทำงานในภาคกลางหรือภาคตะวันออกที่มีความต้องการแรงงานได้ หรือคนงานในประเทศไทยเดินทางไปทำงานต่างประเทศ ก็เนื่องจากการขนส่งที่มีประสิทธิภาพนั้นเอง
          4. การขนส่งช่วยให้เกิดดุลยภาพในระดับราคาสินค้า ธุรกิจเมื่อผลิตสินค้าการขนส่งจะทำหน้าที่นำสินค้าจากผู้ผลิตไปสู่ผู้บริโภคเช่น จังหวัดจันทบุรี ในฤดูกาลเงาะ จะมีผลผลิตเงาะออกมาสู่ตลาดเป็นจำนวนมาก การขนส่งที่มีประสิทธิภาพสามารถนำเงาะไปจำหน่ายได้ในทุกจังหวัดทั่วประเทศและราคาของเงาะที่จำหน่ายในแต่ละจังหวัดจะเป็นราคาที่ใกล้เคียงกัน ทำให้เกิดดุลยภาพในระดับราคา ถ้าการขนส่งไม่มีประสิทธิภาพเงาะในจังหวัดจันทบุรีจะมีราคาถูกมาก ส่วนเงาะที่จำหน่ายในจังหวัดอื่นจะมีราคาสูงมาก เป็นต้น
          5. การขนส่งช่วยให้สินค้าถึงผู้บริโภคอย่างมีประสิทธิภาพ การขนส่งที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพในปัจจุบัน ทำให้สินค้าถึงผู้บริโภคอย่างมีประสิทธิภาพเช่น ผู้บริโภคในประเทศคูเวตสั่งซื้อดอกกุหลาบจากจังหวัดเชียงใหม่ การขนส่งที่มีประสิทธิภาพจะทำให้ผู้บริโภคได้รับดอกกุหลาบที่มีความสวยและสดเสมือนตัดจากต้นกุหลาบใหม่

ความสัมพันธ์ระหว่างการขนส่งผู้โดยสารกับการท่องเที่ยว
      การท่องเที่ยวจำเป็นต้องมีการเดินทางของนักท่องเที่ยวจากถิ่นที่อยู่ประจำไปยังแหล่งท่องเที่ยวเป็นการชั่วคราว ดังนั้นการขนส่งผู้โดยสารกับการท่องเที่ยวจึงมีความสัมพันธ์กันดังต่อไปนี้
       1.การขนส่งผู้โดยสารทำให้นักท่องเที่ยวสามารถเดินทางไปยังแหล่งท่องเที่ยวซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายปลายทาง แล้วเดินทางกลับมายังจุดออกเดินทาง  ทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ
             2.การขนส่งผู้โดยสารให้บริการที่สะดวกสะบายในระหว่างการเดินทางท่องเที่ยวแก่นักท่องเที่ยว เช่นการเดินทางท่องเที่ยวบนเรือสำราญล่องไปตามมหาสมุทร
         3.การขนส่งผู้โดยเกิดการก่อให้เกิดการกระตุ้นการท่องเที่ยวมากขึ้น เนื่องจากความรวดเร็ว ทันสมัย และปลอดภัย
         4.การขนส่งผู้โดยสารเป็นปัจจัยสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมท่องเที่ยว เนื่องจากก่อนให้เกิดการจ้างงานสร้างรายได้ ยกระดับมาตรฐานในการดำเนินชีวิต
        5.การขนส่งผู้โดยสารเป็นโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญในการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยว  ทำให้นักท่องเที่ยวเข้าถึงได้สะดวกและปลอดภัย ทำให้แหล่งท่องเที่ยวนั้นเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยว
        6.การเจริญเติบโตของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวกระตุ้นให้เกิดการพัฒนาการขนส่งผู้โดยสาร เมื่ออุตสาหกรรมท่องเที่ยวเจริญเติบโตมีนักท่องเที่ยวเดินทางไปท่องเที่ยวมากขึ้นความต้องการในขนส่งก็จะเพิ่มขึ้นตามมาด้วย

หน้าที่ของการขนส่งผู้โดยสาร
        การขนส่งผู้โดยสารทำหน้าที่ผลิตบริการเพื่อบำบัดความต้องการของมนุษย์ในการเดินทางจากที่หนึ่งไปอีกที่หนึ่งให้เกิดอรรถประโยชน์ในด้านเวลาและสถานที่

ความสำคัญของการขนส่งผู้โดยสาร
        การขนส่งผู้โดยสารเปรียบเสมือนกุญแจดอกสำคัญที่จะเปิดทางให้ประเทศบรรลุถึงการพัฒนาและความั่งคั่งตลอดจนความสัมพันธ์อันดีระหว่างคนในชาติด้วยกัน
     ความสำคัญของการขนส่งผู้โดยสารต่อเศรษฐกิจของประเทศ
        - ทำให้นักธุรกิจสามารถเดินทางติดต่อค้าขายกันได้ทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ
            - ทำรายได้ให้กับประเทศอย่างมหาศาล
        - ชว่ยลดปัญหาการว่างงาน
        - ทำให้เกิดความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการลงทุน
        - ช่วยดุลการชำระเงินของประเทศ
     ความสำคัญของการขนส่งผู้โดยสารต่อสังคม
        - การขนส่งผู้โดยการช่วยขยายตัวเมือง
        - ช่วยลดการแบ่งแยกของสังคม
        - ช่วยให้มาตรฐานการศึกษาดีขึ้น
        - ช่วยให้มาตรฐานการครองชีพดีขึ้น
        - ช่วยให้เกิดการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมซึ่งกันและกัน
     ความสำคัญของการขนส่งผู้โดยสารต่อการเมืองและการทหาร
        - การขนส่งผู้โดยสารทำให้เกิดความสามัคคี
        - ก่อให้เกิดความภาคภูมิใจในชาติ
        - ช่วยให้การปกครองประเทศเป็นไปด้วยดี
        - ช่วยให้ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศดีขึ้น
        - ช่วยสนับสนุนป้องกันประเทศและความมั่นคงของประเทศ

ปัญหาของการขนส่งผู้โดยสาร
        นอกจากการขนส่งผู้โดยสารจะมีความสำคัญต่อสังคม เศรษฐกิจและการเมืองแล้วในขณะเดียวกันก็สร้างปัญหาด้วยเช่นกัน

        - ปัญหาอากาศเป็นพิษ เนื่องจากการขนส่งแทบทุกประเภทที่ใช้เครื่องยนต์ชนิดสันดาปภายในจักรกลจะต้องใช้เชื้อเพลิงที่ก่อให้เกิดภาวะมลพิษทางอากาศ




        - ปัญหาน้ำเป็นพิษ เช่นการที่น้ำมันเรือรั่วไหล ทำให้น้ำเป็นพิษ แต่ปัญหาน้ำเป็นพิษสามารถควบคุมได้ถ้ามีการป้องกันอย่างเคร่งครัด



        - ปัญหาเสียงรบกวน ชุมชนบางแห่งที่ตั้งอยู่ใกล้สนามบินหรือสถานีขนส่งย่อมประสบกับปัญหาเสียงอึกทึกต่างๆ ซึ่งปัญหานี้เป็นปัญหาที่แก้ไขได้ยาก



        - ปัญหาการจราจรติดขัด เกิดจากผังเมืองและปริมาณของอุปกรณ์การขนส่งและรวมถึงอุปนิสัยของผู้ใช้บริการขนส่ง





        - ปัญหาอุบัติเหตุ การขนส่งผู้โดยสารย่อมเกิดอุบัติเหตุได้ตลอดเวลา ดังนั้นจึงต้องมีความระมัดระวังและจัดระบบความปลอดภัยอย่างชัดเจน



        - ปัญหาการลงทุน เนื่องจากการขนส่งจำเป็นต้องใช้เงินทุนค่อนข้างสูงในการจัดสร้างอุปกรณ์เพื่ออำนวยความสะดวกและความปลอดภัยให้แก่ผู้ใช้บริการ

การบริการขนส่งผู้โดยสาร 
        การขนส่งผู้โดยสารตามความต้องการของมนุษย์แบ่งออกเป็น 3 รูปแบบดังนี้
        1.การให้บริการขนส่งผู้โดยสารในเมือง หมายถึง ความพยายามที่จะจัดการขนส่งผู้โดยสารภายในบริเวณชุมชน แบ่งออกเป็น 3ประเภทดังนี้
        - การขนส่งผู้โดยสารไปกลับในเมือง



        - การขนส่งผู้โดยสารจากในเมืองไปนอกเมือง
        - การขนส่งผู้โดยสารจากนอกเมืองเข้าสู่ในมือง
        2.การให้บริการขนส่งผู้โดยสารระหว่างเมือง หมายถึง ความพยายามที่จะจัดการขนส่งผู้โดยสารระหว่างเมืองต่างๆ เพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการทางเศรษฐกิจและสังคม
        3.การขนส่งผู้โดยสารระหว่างประเทศ หมายถึงความพยายามที่จะจัดการขนส่งผู้โดยสารระหว่างประเทศต่างๆให้มีประสิทธิภาพ การขนส่งประเภทนี้ เครื่องบินถือว่ามีบทบาทมากที่สุด รองลงมาคือทางเรือ และทางรถยนต์น้อยที่สุด

ประเภทของการขนส่งผู้โดยสาร
        การขนส่งผู้โดยสารสามารถเเบ่งออกเป็น 4 ประเภทใหญ่ๆ ดังนี้

1.การขนส่งผู้โดยสารด้วยรถยนต์




2.การขนส่งผู้โดยสารรถไฟ




3.การขนส่งผู้โดยสารเรือ



4.การขนส่งผู้โดยสารเครื่องบิน